วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

๐ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน

มาตรฐานการเรียนรู้
                ง 3.1  เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้ การสื่อสาร  การแก้ปัญหา  การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีคุณธรรม

สาระการเรียนรู้
                ความรู้
                - ทราบพัฒนาการระบบสารสนเทศ
                - มีความรู้เกี่ยวกับรวมถึงประโยชน์ของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์
                - ทราบหลักและวิธีการเรียนรู้องค์ประกอบคอมพิวเตอร์อย่างเข้าใจ
                - มีหลักการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
ทักษะ/กระบวนการ
-  ให้นักเรียนมีอิสระทางความคิดในด้านวิชาการโดยการค้นหาข้อมูลด้วยตนเอง
มีความคิดในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
สามารถใช้ซอฟต์แวร์มาช่วยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เข้าใจแนวคิดหลักการออกแบบโปรแกรมติดต่อกับฐานข้อมูล
สามารถนำความรู้ด้านซอฟต์แวร์มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม



บทที่ 2

๐ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน   
-
การพัฒนาด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ 


     คอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และทางด้านซอฟต์แวร์ เพื่อให้ทันสมัยและรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านฮาร์ดแวร์นั้นได้มีวิวัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ปี 1981 – ปัจจุบัน


วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ 5 ยุค
ยุคที่ 1 มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC) 

         ในปี พ.ศ. 2439 เฮอร์แมน ฮอลเลอริช (Herman Hollorith)ได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรช่วยในการคำนวณ โดยใช้ชื่อบริษัท คอมพิวติง เทบบูลาติง เรดคอร์ดดิง (Computing Tabulating Recording : CTR) หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2467 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบริษัทไอบีเอ็ม (International Business Machine : IBM) บริษัทไอบีเอ็มนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ ของโลก

          ในปี พ.ศ. 2487 บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่องคำนวณที่สามารถคำนวณจำนวนที่มีค่า ต่างๆ ได้ โดยหัวหน้าโครงการคือ ศาสตราจารย์โฮวาร์ด ไอเกน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และให้ชื่อเครื่องคำนวณนี้ว่า มาร์กวัน (Mark I)


ยุคที่ 2 ทรานซิสเตอร์ (Transistor) หรือ หลอดสูญญากาศ



     ยุคนี้เริ่มในปี ค.ศ. 1957 หรือประมาณปี พ.ศ. 2502-2507 ในยุคนี้ได้มีการริเริ่มนำเอาทรานซิสเตอร์ (Transistor) และไดโอด (Diodes) มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ ซึ่งมีขนาดเล็ก มีราคาถูกลงและทำงานได้เร็วขึ้น ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จึงเล็กลงตามไปด้วย ในการทำงานจะใช้วงแหวนแม่เหล็ก สำหรับเก็บข้อมูลและใช้เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็กเป็นสื่อในการรับส่งข้อมูล นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มอุปกรณ์ ในการรับข้อมูล และอุปกรณ์ในการแสดงผลลัพธ์อีกมากมาย มีการใช้เครื่องพิมพ์ จานแม่เหล็ก บัตรเจาะรู จอภาพ และแป้นพิมพ์เป็นเครื่องปลายทาง ในยุคนี้ได้เปลี่ยนจากการสั่งงานด้วยภาษาเครื่องเป็น การใช้สัญลักษณ์แทนจึงทำให้การสั่งงานง่ายขึ้นและมีภาษาระดับสูงบางภาษาเกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน


ยุคที่ 3 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC)


     

     คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)


ยุคที่ 4 ไมโครโพรเซสเซอร์ RISC (Reduced Instruction Set Computer) 
     ในทศวรรษ 1970 เมื่อวงจรเบ็ดเสร็จเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นปัญหาก็เกิดตามมาวงจรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนี้ราคาการออกแบบย่อมสูง ขึ้นด้วยแต่ใช้กับงานเฉพาะอย่างตลาดจึงแคบลงสิ่งที่ต้องการก็คือวงจรเดี่ยวที่สามารถทำงานต่างๆ ได้หลายรูปแบบคำตอบคือไมโคร โพรเซสเซอร์เพราะมันเป็นวงจรที่อ่านและทำงานตามรหัสคำสั่งผู้ใช้สามารถใช้ชิปตัวเดียวทำงานได้หลายอย่างโดยการเก็บรายการ คำสั่งก็คือโปรแกรมมาไว้ในหน่วยความจำอิเล็กทรอนิกส์ ไมโครโพรเซสเซอร์เป็น "สมอง" ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปของชิปเดี่ยว มันใช้ตรรกะในการถอดรหัสคำสั่งและจัดการกับข้อมูลได้ตามสั่งผลลัพธ์จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำหรือส่งไปยังสิ่งดิษฐ์อื่นเช่นจอ ภาพหรือเครื่องพิมพ์แม้จะเปลี่ยนแบบพลิกโฉมมาแล้วก็ตาม ตอนที่เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1971 นั้นไมโครโพรเซสเซอร์เครื่องแรกยังทำ งานช้าการเข้าถึงหน่วยความจำยังจำกัดรวมทั้งจัดการควบคุม"คำ words"ที่เกิดขึ้นจากเลขโดดฐาน 2 ได้ 4 ตัวเท่านั้นการประมวล ผล processor สมัยใหม่สามารถจัดการกับคำที่มี 32 บิตและเข้าถึงหน่วยความจำได้ในขนาดเป็นเมกะไบต์และทำคำสั่งเสร็จสมบูรณ์ ภายในเวลาประมาณหนึ่งในสิบล้านของวินาที"การประมวลผลแบบสัญญาณเชิงตัวเลข"ก็ยิ่งทำงานเร็วกว่านี้จึงใช้สำหรับงานพิเศษ เฉพาะเช่นการส่งภาพไปทางสายโทรศัพท์


ยุคที่ 5 ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)



ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) คือ การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ให้มีพฤติกรรมเหมือนคน โดยเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้และความสามารถทางประสาทสัมผัสซึ่งเลียนแบบการเรียนรู้และการตัดสินใจของมนุษย์ (Laudon & Laudon , 2001)

แบบฝึกหัด
1. ให้นักเรียนหา AI มา1 ชนิด พร้อมยกตัวอย่างและหาความหมายของคำว่า AI



ตัวอย่าง ลักษณะของ AI

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น